...ทำไมความรักทำให้คนตาบอด

โดย นพ.ประเวช ตันติพิวัฒนสกุล
นายแพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข
ความรักทำให้คนตาบอด เป็นคำโบราณจากการสังเกตของคนที่มีปัญญา หรือภูมิปัญญาชาวบ้าน จึงน่าจะมีส่วนจริง ดูได้จากประสบการณ์ของเรา เวลาที่เรามีความรักความสามารถในการมองอะไรรอบๆ ด้านมักจะเสียไป โดยเฉพาะคนที่มีประสบการณ์มามากๆ จะเห็นเลยว่าเวลาตกหลุมรัก บ้างครั้งมันทำให้โงหัวไม่ขึ้น
จึงมีการศึกษาเกี่ยวกับสมองว่า เกิดอะไรขึ้นในสมองของคนเราในภาวะตกหลุมรัก ซึ่งไม่ได้เป็นความรู้ใหม่เลย แต่เป็นการยืนยันความรู้เก่า โดยเอาวิทยาศาสตร์มาอธิบาย ซึ่งปัจจุบันเราสามารถวัดสมองแต่ละสภาวะอารมณ์ได้เลยว่า อารมณ์แบบไหนสมองส่วนไหนทำงานและส่วนไหนไม่ทำงาน ทำให้เราเข้าใจการทำงานที่เชื่อมโยงกันของสมอง
การศึกษาพบว่า การทำงานสมองในช่วงที่แรกรัก สมองจะมีการทำงานสำคัญอยู่ 3 อย่าง อย่างแรกคือทำงานคล้ายกับคนที่ หมกมุ่น ย้ำคิดย้ำทำ อย่างที่สองคคือทำงานเหมือนกับคนที่กำลังสมองเสื่อม หลงๆ ลืมๆ เหม่อลอย อย่างที่สามคือลักษณะเหมือนคนที่กำลังเสียสติ การตัดสินใจเสียไป มองอะไรไม่รอบด้าน หากได้ตรวจคลื่นสมองของคนที่กำลังหลงรักแบบโงหัวไม่ขึ้น ก็จะพบว่าสมองมีภาวะร่วมของอาการสามอย่างที่กล่าวมานี้
หากมนุษย์มีลักษณะที่ฝังอยู่ในวิวัฒนาการย่อมมีประโยชน์อย่างหนึ่งอย่างใดต่อวิวัฒนาการ ประโยชน์ก็คือ การหมกมุ่นลักษณะนี้มีผลต่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ การปรับตัว การเอาตัวรอด และการส่งผ่านรหัสทางพันธุกรรม หรือยีนส์ของสายพันธ์นั้นให้อยู่ต่อ เพราะฉะนั้นการหมกมุ่นอยู่กับความรักเป็นคู่ จะเอื้อต่อการสืบพันธุ์ให้สายพันธุ์นั้นดำรงอยู่ต่อไปได้นั่นเอง
แต่หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมภาวะแบบนี้จึงไม่อยู่กับเราไปนานๆ คงเป็นเรื่องยุ่งน่าดูถ้าภาวะนี้จะอยู่กับเราตลอดไป ต้องเข้าใจว่าการตกหลุมรักเป็นฮอร์โมนและเป็นสภาวะที่เกิดขึ้นชั่วคราวเพื่อดึงให้คนมาผูกอยู่ติดกัน แต่เมื่อได้มาอยู่ร่วมกันนานพอ และร่างกายของสองคนสมบูรณ์แข็งแรงก็ทำให้เกิดลูกขึ้นมา การผูกติดกันของคู่จะส่งผลเสียกับลูก เพราะฉะนั้นวิวัฒนาการจึงให้แม่ถ่ายความสนใจไปที่ลูกแบบโงหัวไม่ขึ้น ส่วนพ่อนั้นสามารถอยู่ไกลออกไปได้ ถ้าเกิดไปเจอพ่อแบบที่ไม่มีวุฒิภาวะพอ เขาก็จะออกไปเพื่อแพร่รหัสพันธุกรรมของเขาต่อไป นี่คือการอธิบายในแง่วิวัฒนาการ เพราะฉะนั้นเมื่อผ่านพ้นช่วงความรักแบบโงหัวไม่ขึ้นแล้ว เราจำเป็นต้องดึงเอาความสามารถในการมองช่วงชีวิตในระยะยาวๆ ออกมาใช้ให้ได้
นอกจากนี้อาจเป็นไปได้ว่า การทำงานของสมองช่วงตกหลุมรัก ช่วยให้คนที่ไม่สมบูรณ์แบบได้มีโอกาสได้แพร่พันธุกรรม เพราะหากทุกคนตาสว่างเห็นอะไรชัดเจนทะลุปรุโปร่งหมด ก็คงจะเหลือคนที่ตกลงปลงใจแต่งงานมีคู่น้อยมาก เพราะฉะนั้นหัวใจสำคัญของความรักคือ การยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบของคู่ของเรา เพราะการยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบของเขาจะทำให้เราอยู่ร่วมกันได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตามความสามารถของคนแต่ละคนไม่เท่ากัน การมองให้เห็นคนคนหนึ่งหลายด้าน ไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนจะทำได้ ขึ้นอยู่กับเนื้อแท้ของอารมณ์ความรู้สึกของคนคนนั้น
ในสมัยโบราณจึงมีคำสอนไม่ให้ไปหมกมุ่นกับเรื่องใดเรื่องเดียว ให้ดำเนินชีวิตหลายด้าน ก็เพื่อจะไม่ทำให้จมอยู่เรื่องใดเรื่องหนึ่งมากเกินไป เช่น แม้จะกำลังตกหลุมรักกันปานจะกลืน แต่มันติดที่หน้าที่ต้องไปทำงาน ต้องดูแลพ่อแม่ญาติพี่น้อง ในขณะที่ทำหน้าที่นี้เอง เราจะได้มองเห็นข้อดีข้อเสีย ลักษณะที่เป็นที่น่าชื่นชมกับข้อจำกัดของกันและกัน ซึ่งเมื่อมีเวลาเราก็ค่อยๆ ปรับใจกันไป การเรียนรู้ที่สำคัญคือการยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบดังที่กล่าวไปแล้ว
หากต้องการป้องกันปัญหาเรื่องการตัดสินใจ วิเคราะห์ผิดพลาดในขณะอารมณ์รักและลุ่มหลง ต้องปลูกฝังเรื่องการใช้สติปัญญาตั้งแต่วัยเด็ก หากฝึกมาดีมักจะช่วยเหลือในภาวะเช่นนี้ได้ นอกจากจะช่วยเหลือตนเองได้แล้ว หากเรามีคนรอบข้างหรือคนในครอบครัวตกอยู่ในสภาวะตกหลุมรักเช่นนี้ก็จะสามารถช่วยเป็นที่ปรึกษา และที่สำคัญคือเข้าใจภาวะที่เขากำลังเป็นอยู่ได้
นีรชา คัมภิรานนท์ เขียน
เนื้อหาจาก รายการวิทยุครอบครัวคุยกัน วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 20.30-22.00
FM105 วิทยุไทยเพื่อเด็ก เยาวชน และครอบครัว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น