Accessibility help

เมนูหลัก

เคล็ดไม่ลับ วิธีการส่งเสริมลูกให้เรียนเก่ง

เคล็ดไม่ลับ วิธีการส่งเสริมลูกให้เรียนเก่ง

ปภาดา ชิโนภาษ

สำนักส่งเสริมสถาบันครอบครัว

 
ผู้เขียนเข้าใจว่าคุณพ่อคุณแม่ยุคนี้ คงจะทราบข้อมูลว่ากรรมพันธุ์ที่ถ่ายทอดจากคุณพ่อคุณแม่เป็นปัจจัยครึ่งหนึ่งที่ทำให้ลูกฉลาด ส่วนปัจจัยที่เหลือจะเป็นเรื่องของสิ่งแวดล้อมจากการอบรมเลี้ยงดู รวมทั้งสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ดังนั้น หากจะกล่าวว่าคุณพ่อคุณแม่ คือ ปัจจัยสำคัญที่สุด ในการส่งเสริมให้ลูกฉลาดคงจะมิใช่การกล่าวที่เกินจริง
คุณพ่อคุณแม่ควรต้องทราบและตระหนักถึงความสำคัญว่า “เด็กสามารถเรียนรู้และมีพัฒนาการดีที่สุด ในช่วงอายุ 3 ปีแรก” สำหรับในครอบครัวที่มีกรรมพันธุ์ที่ดี ก็ถือว่าเด็กมีต้นทุนชีวิตที่ดี การส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดจนพัฒนาการต่างๆ ให้กับลูกก็จะไม่ยุ่งยากมากนัก แต่สำหรับในบางครอบครัว หากรู้สึกว่าไม่มีปัจจัยเรื่องของกรรมพันธุ์ช่วยส่งเสริม ก็ขอให้ทราบและมั่นใจว่าสิ่งแวดล้อมจากการอบรมเลี้ยงดู และสิ่งแวดล้อมอื่นๆ เป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่สามารถสร้างและกำหนดได้คะ
 
คุณพ่อคุณแม่ที่ต้องการส่งเสริมลูกให้เรียนเก่งลองใช้เคล็ดไม่ลับเหล่านี้ดูค่ะ
 
1. คุยกับลูกบ่อยๆ  มีผลการศึกษาเป็นที่ยอมรับว่าเด็กทารกสามารถจำและตอบสนองต่อเสียงของแม่ได้เกือบนาทีแรกหลังคลอด และยังมีข้อสนับสนุนที่บอกว่าทารกได้ยินเสียงของแม่ตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์ ทารกที่เกิดสัปดาห์ต่อมาจะสามารถสบตากับผู้ที่กำลังพูดกับเขาได้ ดังนั้น เมื่อคุณพ่อคุณแม่อุ้มลูก ให้มองสบตาลูกและให้หน้าของคุณห่างกับเขาประมาณ 30 เซนติเมตร แล้วพูดกับเขาช้าๆ ชัดๆ และรอการตอบสนองจากเขาค่ะ
2. อ่านหนังสือให้ลูกฟัง เด็กเล็กยังอ่านเองไม่ได้ คุณจึงควรอ่านหนังสือให้เขาฟังบ่อยๆ เริ่มจากการเลือกหนังสือที่เหมาะกับวัย เช่น นิทานสำหรับเด็ก เพื่อช่วยให้ลูกได้ยินลักษณะของคำพูด และฝึกให้เขาออกเสียงพูด ลูกจะได้คุ้นเคยและเรียนรู้ที่จะเลียนแบบ ซึ่งจะเป็นการปลูกฝังนิสัยรักการอ่านให้กับลูกต่อไป
3. ฟังลูกอ่าน เมื่อลูกรู้จักอ่านหนังสือ คุณควรส่งเสริมเขา ด้วยการช่วยลูกเลือกหนังสือเพื่อนำมาอ่านด้วยกัน ให้เขาอ่านให้ฟัง ฟังความคิดเห็นของเขาเกี่ยวกับเรื่องที่เขาอ่าน การที่คุณฟังเขาอ่าน และฟังความคิดเห็นของเขาจะทำให้เขารู้สึกมีคุณค่า ที่สำคัญการอ่านหนังสือกับลูกเป็นการปลูกฝังความคิดว่า คุณเห็นคุณค่าของการเรียนรู้และทำให้เขาทราบว่ากิจกรรมที่ทำอยู่เป็นกิจกรรมที่มีประโยชน์ และเป็นการสร้างความอบอุ่นที่ดีอีกด้วย
4. ชื่นชมและให้รางวัลกับความสำเร็จของลูก อาจเป็นการกล่าวชม กอด หอมแก้ม ทำของโปรดให้เขาทาน หรือ พาไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะ เพื่อบอกให้ลูกทราบว่าความสำเร็จของเขาเป็นเรื่องสำคัญและน่ายินดี บางครั้งการใช้โอกาสของความสำเร็จของลูกในการจัดงานเลี้ยงเล็กๆ ในครอบครัว ก็น่าจะเป็นโอกาสที่ดีในการใช้เวลาร่วมกันอย่างมีคุณภาพได้อีกวิธีหนึ่ง
5. ส่งเสริมการเล่นของลูก   คุณพ่อคุณแม่ควรเข้าใจและยอมรับว่า การเล่นคือธรรมชาติของเด็ก การเล่นจะช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ ช่วยให้เขาสนุกสนาน ของที่มีอยู่รอบตัวก็เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี ของเล่นของลูกที่ดีไม่จำเป็นต้องแพง เพียงแต่เลือกให้เหมาะสมกับวัย ยุคนี้ของเล่นที่มีคุณภาพส่วนใหญ่จะระบุอายุของเด็กไว้ให้ด้วย การจัดตารางการทำกิจกรรมต่างๆ ให้เหมาะสมก็เป็นเรื่องจำเป็น ที่สำคัญอย่าปล่อยให้ลูกเล่นมากหรือน้อยเกินไปคะ
6. คุยเรื่องชีวิตประจำวันกับลูก เช่น อาจใช้คำถามลักษณะว่า “วันนี้เราทำสลัดผักทานกัน ไหนคนเก่งลองบอกแม่สิ ว่ามีผักอะไรบ้าง” “วันอาทิตย์หน้าคุณพ่อจะพาเราไปเที่ยวสวนสัตว์ตามสัญญา ดีใจไหมลูก แล้วลูกชอบสัตว์อะไรมากที่สุด ทำไมถึงชอบคะ การพูดคุยกับลูกจะช่วยให้เขาคิดได้ ให้เขาได้รู้จักการโต้ตอบ ทำให้เขาจะรู้สึกว่าเป็นคนสำคัญ หากจะมีบางครั้งเขาอาจพูดผิด ถ้าไม่เสียหายก็ปล่อยไปบ้าง แต่หากส่งผลต่อการเรียนรู้ของเขา ต้องค่อยๆ บอกว่าสิ่งใดถูก โดยไม่ทำให้เขารู้สึกว่าผิด และอย่าดุลูก ในขณะที่คุณคุยกับเขาคะ
7. นับเลขเล่นกับลูก เริ่มจากสิ่งต่างๆ รอบตัวเช่นถามว่าครอบครัวเรามีกี่คน ตุ๊กตาตัวโปรดของลูกมีกี่ตัว วันนี้ลูกใช้เงินไปเท่าไหร่และเก็บเงินใส่กระปุกได้กี่บาท เป็นต้น
8. ให้เด็กบอกสีของสิ่งต่างๆ เช่น ดอกไม้ เสื้อผ้า หรือของใช้ต่างๆ เพื่อให้ลูกได้เรียนรู้และสังเกตสิ่งต่างๆ รอบตัว
9. สร้างบรรยากาศให้ลูกสบายใจกับการไปโรงเรียน ทำให้เขามีความสุขอาจให้รางวัลลูกเป็นอุปกรณ์ทางการศึกษา เช่น กล่องดินสอใหม่ กล่องดินสอสี เสื้อผ้าชุดใหม่ เมื่อเขาทำความดี หรือคุณอาจเขียนคำว่า “แม่รักลูก” หรือ “พ่อรักลูก” สอดไว้ในหนังสือ เป็นต้น
10. ควรมีมุมหนังสือและที่นั่งอ่านหนังสือสบายๆ ในบ้าน หากมีพื้นที่เพียงพอ เพื่อที่ทุกคนในครอบครัว จะได้ใช้เป็นที่อ่านหนังสือ ทำการบ้าน มุมทำงาน และมุมนั่งพักผ่อนได้สบายๆ ของทุกคนได้พร้อมกัน
สิ่งสำคัญ ที่ไม่ควรมองข้าม คือ ควรฝึกให้ลูกตื่นนอนเป็นเวลาตั้งแต่ยังเล็ก เพื่อที่จะได้ไม่ต้องบังคับเคี่ยวเข็ญให้ลูกต้องตื่นเช้าไปโรงเรียน
เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เพียงแค่นี้ คิดว่าคุณพ่อคุณแม่คงจะทำได้ไม่ยากเลยใช่ไหมคะ หากเทียบกับผลตอบแทน ที่มีคุณค่าอย่างมหาศาลที่คุณและลูกจะได้รับ
 
 
ที่มา : วารสารสตรีและครอบครัว ฉบับพิเศษ ปีที่ 3 ฉบับที่ 13 ประจำเดือนตุลาคม – ธันวาคม 2550
สำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์